“Flexible Time” “New Generations”
ยุคสมัยเปลี่ยนไป อะไร ๆ ก็ต้องเปลี่ยนตาม ระบบการทำงานก็เช่นกัน ! ตอนนี้กำลังเป็นที่ถกเถียงกันว่าควรจะทำตามกำหนดเวลาเป๊ะ ๆ หรือว่าควรเปลี่ยนแปลง ปล่อยให้พนักงานมีอิสระในการทำงานได้ บอกเลยว่าประเด็นนี้คน Gen X และ Gen Y ยังเถียงกันไม่จบซะที ร้อนถึงนายใหญ่ขององค์กรที่ต้องตัดสินใจแล้วแหละว่าจะต้องจัดระบบการทำงานแบบไหนเพื่อให้เข้ากับลูกน้องของตัวเอง โดยเฉพาะคนที่เป็น “New Generations” ไหน ๆ ประเด็นนี้กำลังดัง และมีปัญหามาอย่างยาวนาน BEAUTY HUNTER จึงลองนำข้อดีและข้อเสียของ “Flexible Time” หรือระบบการทำงานแบบยืดหยุ่นมาฝากค่ะ

ลดความเครียดในการทำงาน
บางทีการทำงานภายในเวลาที่กำหนด ทำทุกอย่างให้ตรงตามตารางเป๊ะ ๆ มักจะทำให้เราเกิดความรู้สึกกดดัน และผลงานของเราก็จะออกมาไม่ดี โดยเฉพาะกับงานด้านการใช้ความคิดสร้างสรรค์ เด็ก ๆ Gen Y ส่วนใหญ่คิดว่าควรมีเวลาพัก ออกไปเดินเล่น ยืดเส้นยืดสายในเวลางานบ้าง แล้วจะได้กลับมาทำงานโดยที่ลดความเครียดลงไปได้เยอะ

ทำงานที่อื่นนอกจากออฟฟิศได้
ออฟฟิศห้องสี่เหลี่ยม ๆ กับหน้าจอคอมพิวเตอร์เป็นสิ่งที่เด็กรุ่นใหม่เบื่อหน่ายมาก ข้อดีของการทำงานแบบ Flexible Time คือเราสามารถทำงานที่อื่นนอกจากออฟฟิศได้ ไม่ว่าจะเป็นที่บ้าน หรือร้านกาแฟ เพราะทำให้เราได้เปลี่ยนบรรยากาศ และที่สำคัญคือสามารถจัดสมดุลระหว่างเวลางานและเวลาส่วนตัวได้ด้วยตัวเอง เพราะการทำงานในออฟฟิศนาน ๆ อาจทำให้เรามีเวลาส่วนตัวน้อยลง

หลีกเลี่ยงการเดินทาง
Flexible Time ถือว่าแก้ปัญหาเรื่องการเดินทางไปทำงานได้อย่างดีเยี่ยม เพราะเราไม่ต้องตื่นเช้า แย่งชิงพื้นที่และอากาศหายใจในรถสาธารณะ หรือถ้าใครมีรถยนต์ส่วนตัว ก็ไม่ต้องปวดหัวกับปัญหารถติด ว่ากันว่าการเดินทางที่ยาวนานทำให้เราเสียสุขภาพจิตได้ และส่งผลให้งานไม่มีคุณภาพ ฉะนั้นข้อดีของ Flexible Time คือทำให้เราไม่ต้องกังวลกับการเดินทางทุกเช้านั่นเอง

ดึงดูดเด็กรุ่นใหม่
การทำงานแบบ Flexible Time นี่แหละที่เด็กรุ่นใหม่อย่างเราให้ความสนใจ เพราะมีอิสระในการทำงานในรูปแบบของตัวเอง บริษัทไหนที่เริ่มปรับเป็น Flexible Time มักจะมีเด็กรุ่นใหม่เข้าไปสมัครเยอะ ข้อดีคือทำให้องค์กรได้พบกับความคิดใหม่ ๆ จากเด็กรุ่นใหม่ไฟแรง พาองค์กรขับเคลื่อนไปได้ไกลนั่นเองจ้า

อยู่ในองค์กรเดิมนานขึ้น
เมื่อพนักงานได้รับความยืดหยุ่นในการทำงานแล้ว ก็จะทำให้พนักงานรู้สึกผูกพันกับบริษัท และคิดว่าไม่มีบริษัทไหนที่ดีกว่าบริษัทที่ตัวเองกำลังทำอยู่ บริษัทจึงไม่ต้องเปลี่ยนพนักงานบ่อย หรือประกาศรับสมัครจนถี่เกินไป ซึ่งเป็นการสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับบริษัทของคุณเองด้วย

ตามงานยากขึ้น
มาถึงข้อเสียของ Flexible Time กันบ้าง พอองค์กรให้อิสระกับพนักงานมาก ๆ เข้า ให้ทำงานที่อื่นนอกจากออฟฟิศ ทีนี้พอเราอยากจะตามความคืบหน้าของงาน ก็มักจะตามยากขึ้น บางทีเวลาที่เราตามงานพนักงาน ก็ดันเป็นเวลาที่เขาไปทำธุระส่วนตัว ยิ่งเป็นงานที่มีลูกค้าคอยตามยิก ๆ ยิ่งลำบากใจเลยล่ะค่ะ

ต้นทุนอาจจะเพิ่มขึ้น
เมื่อเรายืดหยุ่นเวลาการทำงานในออฟฟิศ อาจจะมีคนมาทำงานเช้าเกิน หรือเลิกดึกเกิน ทำให้การใช้ไฟฟ้ามีปริมาณเพิ่มมากขึ้น รวมถึงของกินในห้องแพนทีนก็ต้องมีมากขึ้นเพื่อรองรับคนที่ทำงานเช้าเกิน หรือทำงานดึกเกิน ของพวกนี้อาจจะดูเหมือนเล็กน้อย แต่พอคำนวณดี ๆ อาจต้องเสียเงินเพิ่มเป็นหนึ่งเท่าตัว ถือว่าไม่โอเคมาก ๆ เลยค่ะซิส

ควบคุมยาก
การทำงาน Flexible Time ทำให้ระบบองค์กรกระจัดกระจาย ไม่เป็นระเบียบ เพราะพนักงานอาจตามใจตัวเองมากเกินไป และไม่เคารพกฎขององค์กร จนควบคุมผลงานให้เป็นไปตามเป้าหมายได้ยาก รวมถึงควบคุมความคิดของพนักงานไม่ได้ด้วย ทำให้เกิดการทะเลาะเบาะแว้งเพราะความคิดไม่ตรงกัน งานจะพังเอาง่าย ๆ นะเธอ!
เห็นข้อดี – ข้อเสียของการทำงานแบบยืดหยุ่นแล้ว บริษัทไหนคิดจะเปลี่ยนเป็นระบบนี้ ควรศึกษาข้อมูลให้มาก ๆ นะจ๊ะ พยายามจัดระบบองค์กรให้ดี และให้พนักงานเข้าใจตรงกันกับเรา ส่วนพนักงานเองก็อย่า Flexible มากจนทำให้เสียงาน เดี๋ยวจะตกงานโดยไม่รู้ตัว เมื่อบริษัทให้ความยืดหยุ่นกับเราแล้ว เราต้องจัดระบบตัวเองให้ดีเช่นกันนะจ๊ะเธอ

