ความไม่ซื่อสัตย์ การโกหก ความไม่จริงใจ ถือเป็นด้านมืดร้าย ๆ อันดับต้น ๆ ของมนุษย์อย่างเรา ๆ แต่ใครจะรู้ว่าบางทีเราก็จำเป็นต้องงัดเอาด้านมืดในตัวเราอย่าง “การพูดโกหก” ออกมาใช้เสียบ้าง เพราะ Emma E. Levine ผู้ช่วยศาสตรจารย์จาก University of Chicago Booth School of Business ผู้เชี่ยวชาญด้านการโกหกและการพูดความจริงเขากระซิบบอกมาว่าในบางสถานการณ์การพูดตรง ๆ ทื่อ ๆ ก็ไม่ใช่คำตอบที่ดีต่อความสัมพันธ์เสมอไป และ 5 สถานการณ์ต่อไปนี้นี่แหละค่ะที่ซิสต้องรู้จักงัดด้านมืดมาโกหกกันซะหน่อย
โกหกเพื่อประโยชน์ของคนที่เรารัก
ถ้าเจอหนุ่มที่เรากำลังจีบ ๆ กันอยู่ในเดตครั้งแรก แล้วเขาดูตื่นเต้น ประหม่า ไม่เป็นตัวของตัวเองเอาเสียเลย สถานการณ์แบบนี้ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่าการโกหกอาจจะสร้างความเชื่อใจ ความเชื่อมั่นได้อย่างไม่น่าเชื่อ โดยซิสพูดอะไรดี ๆ เกี่ยวกับตัวเขา เช่น วันนี้ตัวเองแต่งตัวน่ารักจัง เราชอบมากเลยนะ แม้ในใจเราอาจไม่ได้ชอบเต็ม 100 ขนาดนั้น อาจจะชอบแค่ 30-70 แต่ก็โกหกเพื่อประโยชน์ของคนที่เรารัก ผู้เชี่ยวชาญระบุว่าการโกหกแบบนี้จะดีต่อความสัมพันธ์ แต่ต้องระวังให้ดีว่ามันเพื่อประโยชน์ของเขาแน่ ๆ ไม่ใช่ว่าเราไปสาย หรือทำความผิดอะไรมา แล้วแกล้งชมเขาเพื่อกลบเกลื่อน นั่นคือการโกหกเพื่อผลประโยชน์ของเราไม่ใช่คนที่เรารักค่ะคุณขา!
โกหกเพราะพูดจริงไปก็เปลี่ยนอะไรไม่ได้แล้วจ้ะ!
บางสถานการณ์นั้นการพูดความจริงไปก็ดูจะไม่มีประโยชน์อะไรเลย เช่น เพื่อนกำลังจะออกไปพรีเซนต์งานหน้าห้อง แต่เตรียมตัวไม่ทันแล้ว หรือแฟนเรากำลังขึ้นแสดงดนตรีบนเวทีใหญ่ครั้งแรกในชีวิต ต่อให้เพื่อนเราจะทำงานมาแย่แค่ไหน หรือวันนี้แฟนเราดันแต่งตัวได้ไม่น่าดูเป็นพิเศษ การพูดความจริงว่า โห พังแน่ ๆ อ่ะ เตรียมตัวมาห่วยขนาดนี้ มันไม่สามารถเปลี่ยนให้งานเพื่อนดีขึ้น หรือการแต่งตัวแฟนดีขึ้นได้ในวินาทีนั้นแน่ ๆ เพราะฉะนั้นถ้าเปลี่ยนอะไรไม่ได้ อย่าพูดอะไรโต้ง ๆ ตรง ๆ ไปให้คนที่เรารักเสียความมั่นใจเปล่า ๆ แต่ลองโกหกเขา ว่าทุกอย่างมันดีที่สุดเท่าที่จะเกิดขึ้นได้ แล้วให้กำลังใจเขาแทน แบบนี้ดีต่อความสัมพันธ์มากกว่าแน่นอน
โกหกเพื่อการวิจารณ์ที่มีประสิทธิภาพ
วันหนึ่งที่สาว ๆ อย่างเราเติบโตจนต้องไปวิจารณ์งานใครสักคน หรือแม้แต่การทำงานกลุ่มที่เราก็ต้องออกความเห็นต่องานเพื่อนในกลุ่มบ้าง การวิจารณ์ตรง ๆ แรง ๆ แล้วบอกว่าฉันเป็นคนพูดตรง บางทีมันก็มีเส้นบาง ๆ ระหว่างการพูดตรง ๆ กับการไม่นึกถึงใจคนอื่น ดังนั้นผู้เชี่ยวชาญจึงแนะนำว่าการวิจารณ์ผู้อื่นอย่างมีประสิทธิภาพจะเกิดขึ้นได้ ถ้าซิสรู้จักการโกหกเสียบ้าง เช่น ถ้างานเพื่อนนั้นแย่แสนแย่ แทนที่จะมาถึงแล้วซัดตรง ๆ ว่ามันไม่ดียังไง เราอาจต้องเริ่มโกหก ด้วยการบอกก่อนว่า เราชอบงานเธอมากเลยนะ แต่เราว่าเราจะชอบมากกว่านี้อีก ถ้าเธอปรับตรงนี้ แล้วก็สาธยายไปว่าอะไรบ้างที่เราอยากให้เพื่อนปรับ ดีกว่าไปฟาดฟันตรง ๆ แรง ๆ เพราะนอกจากเพื่อนจะไม่รับฟังคำวิจารณ์แล้ว ความสัมพันธ์อาจจะแย่ตามลงไปเลยก็ได้
โกหกเพราะบางเวลามันก็พูดความจริงไม่ได้เด้อสาว ๆ
บางทีการโกหกอาจหมายถึงการที่เราไม่สามารถพูดความจริงออกไปได้ในสถานการณ์ตรงหน้า แต่จำเป็นต้องรอเวลาเพื่อให้อะไร ๆ คลี่คลายออกไปก่อน เช่น ถ้าซิสรู้ว่าแม่ของเพื่อนล้มป่วยแบบเฉียบพลัน ในเวลาที่อีก 20 นาทีเพื่อนจะต้องเดินเข้าสอบปลายภาค คำถามคือเราจำเป็นต้องบอกความจริง ณ วินาทีที่เรารู้ตอนนั้นเลยไหม ? คำตอบคือไม่จำเป็นนะคะ โกหกไปก่อนว่าทุกอย่างเรียบร้อยดี เพราะบอกตอนนั้นนอกจากเพื่อนจะทำอะไรเรื่องแม่ไม่ได้แล้ว เพื่อนจะเสียสมาธิในการสอบไปด้วย ดังนั้นหลาย ๆ เรื่องมันมีเวลาเฉพาะของมัน เราก็จำเป็นต้องโกหกเพื่อไม่ให้สถานการณ์มันแย่ซ้ำซ้อนไปอีก
โกหกเพราะเราไม่สนิทกันขนาดนั้น
เรื่องบางเรื่อง ข้อความบางอย่าง หรือแม้แต่การพูดตรง ๆ เพื่อวิจารณ์อะไร ถ้ามาจากคนที่เราสนิทใจ เราจะรู้สึกเข้าใจและรับมันได้ ในขณะที่ถ้ามีใครสักคนที่เพิ่งรู้จักกันวันสองวัน หรือเพิ่งเจอหน้ากันมาพูดอะไรโต้ง ๆ ตรง ๆ แรง ๆ เราคงรู้สึกอึดอัดใจมากกว่าจะรู้สึกดี เช่นเดียวกันค่ะสาว ๆ ถ้าเรายังไม่สนิทกับคนอื่นในระดับที่รู้สึกสบายใจมากพอ เราก็ควรสงวนความจริงไว้ และรู้จักโกหกบ้าง เพราะหลาย ๆ ครั้งถ้าเราเปิดปากพูดความจริง (ซึ่งเขาอาจรับได้หรือไม่ได้ก็ไม่รู้) ไม่เป็นประโยชน์ต่อความสัมพันธ์ในระยะยาวแน่นอน
การโกหกคือด้านมืดของมนุษย์ แต่บางทีถ้าเรารู้จักการนำด้านมืดมาใช้ให้ถูกสถานการณ์ ถูกคน ด้านมืดนั้นก็อาจพลิกความสัมพันธ์สู่ด้านสว่างได้ทันทีเหมือนกัน แต่ขึ้นชื่อว่าด้านมืดมันก็คือด้านมืดอยู่วันยังค่ำ ถ้าเราเอามาใช่พร่ำเพรื่อ การโกหกมันก็สามารถดูดกลืนเรา และทำลายความสัมพันธ์ได้อย่างน่าสะพรึงกลัวสุด ๆ เลยทีเดียว
ขอบคุณข้อมูลจาก time.com
