“Skip-Care”
เราอาจเคยได้ยินมาว่าสาว ๆ เกาหลีต้องโบกสกินแคร์ราว ๆ 10 ขั้นตอนเป็นอย่างต่ำทั้งก่อนนอนและก่อนออกจากบ้าน แต่ตอนนี้เทรนด์ “Skip-Care” กำลังมาแทนที่ เพราะเขาเชื่อว่าผิวเราสวยได้โดยไม่ต้องพึ่งขั้นตอนมากมาย กด Skip ข้าม ๆ ไปบ้างก็ได้ แต่ข้อดีของ “Skip-Care” หรือการใช้สกินแคร์แบบมินิมัลคืออะไรกันแน่ ? BEAUTY HUNTER จะพาสาว ๆ มารู้จักข้อดีของ “Skip-Care” ที่จะทำให้เราทั้งสวย ทั้งประหยัดเวลา
โฟกัสที่ผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์กับสภาพผิวมากขึ้น
เทรนด์ “Skip-Care” ถูกปลุกขึ้นในเกาหลีอย่างกว้างขวางโดยสาเหตุหนึ่งคือการที่สาวเกาหลีรู้สึกว่าพวกเธอต้องมาพะวงกับขั้นตอนลงสกินแคร์เป็น 10 ขั้นตอนโดยไม่เคยตั้งคำถามเลยว่าที่ทำนี้แค่ทำตาม ๆ กันมาแล้วคิดว่าจะดี หรือมันดีกับผิวเราจริง ๆ กันแน่?
“Skip-Care”จึงเป็นอีกเทรนด์หนึ่งที่กำลังบอกเราว่าใจเย็น ๆ นะคะซิส คนอื่นบอกว่าเราต้องใช้ 10 ขั้นตอนแต่จริง ๆ แล้วผิวเราอาจมีปัญหาอยู่ไม่กี่อย่างดังนั้นเราโฟกัสเฉพาะตัวที่จะช่วยดูแลปัญหาผิวเราได้ตรงจุดจะดีกว่าเพราะเราไม่อาจสวยเหมือนใคร แต่เราสวยที่สุดได้ถ้าเข้าใจสภาพผิวของตัวเองจริงๆ
ประหยัดเงิน
ถ้าโบกสกินแคร์เป็นสิบ ๆ ขึ้นตอน ก็หมายความว่าเราต้องจ่ายไปกับครีม ซีรั่ม โทนเนอร์ สิบ ๆ กระปุก ถ้าซิสคือคนหนึ่งที่มองไปที่โต๊ะเครื่องแป้งแล้วเห็นว่ามีครีมมากมายที่ไม่ได้ใช้ หรือบางทีก็ซื้อมาเพราะเห็นคนนั้นคนนี้รีวิวว่าดี แต่เมื่อใช้แล้วก็ปล่อย ๆ มันไว้
ซิสก็อาจเหมาะกับเทรนด์ “Skip-Care” โดยข้อดีของมันคือเมื่อเราโฟกัสได้ว่าผิวเราต้องการอะไรที่แท้จริง เราก็จะไม่ต้องกว้านซื้อสกินแคร์เป็นสิบ ๆ กระปุกอีกต่อไป เงินส่วนที่เคยเอาไปลงกับกสินแคร์กระปุกที่ไม่ได้ใช้ก็เหลือเก็บไปซื้ออาหารที่ดีต่อสุขภาพ หรือซื้อคอร์สฟิตเนสเพื่อดูแลผิวและร่างกายได้อีกทางหนึ่ง
เหลือเวลาไปดูแลตัวเองในรูปแบบอื่น ๆ
สาว ๆ เกาหลีเคยออกมาสร้างความรับรู้เรื่องความลำบากของพวกเธอว่ากว่าจะออกจากบ้านได้รู้ไหมพวกฉันต้องตื่นมาทาสกินแคร์กี่ขั้นตอน! กว่าแต่ละตัวจะซึมลงผิว กว่าแต่ละตัวจะแห้งจนทาตัวต่อไปได้ มันเปลืองเวลานอน เปลืองเวลาเอาไปทำอย่างอื่นสุด ๆ
“Skip-Care” คือเทรนด์ที่จะช่วยให้เราทาสกินแคร์น้อยลง หรือหาสกินแคร์ที่ตอบโจทย์ผิวเราอย่างตรงจุดจนเหลือใช้แค่ตัวเดียว ทำให้เรามีเวลานอนมากขึ้น มีเวลาพาตัวเองไปทำอย่างอื่นมากขึ้น โดยไม่ต้องมัวมากังวลว่าวันนี้ฉันทาสกินแคร์ครบ 10 ขั้นตอนตามที่กูรูบอกหรือยังนะ เรียกว่าเป็นการประกาศอิสรภาพครั้งใหญ่เลยล่ะค่ะซิส
ใส่ใจกับสภาพผิวหน้าของตัวเองได้ละเอียดขึ้น
เคยไหมคะ? ถ้าครีมอยู่แล้ว 6 ตัว วันดีคืนดีซื้อตัวใหม่มาอีก 3 ตัวก็ทาโครม ๆ ๆ ลงไป อีกสามวันเกิดอาการแพ้ สิวเห่อเต็มหน้า แต่หาคำตอบไม่ได้ว่า เอ๊ะ ตัวไหนที่ทำให้เราแพ้กันแน่นะ?
หรือใช้ครีมอยู่ 6 ตัว ไม่เคยแพ้ แถมหน้าก็ดีขึ้น ใสขึ้น จุดด่างดำลดลง แต่ก็ไม่เคยรู้เลยว่า เอ๊ะ กระปุกไหนนะที่เข้ากับหน้าเรา จนหน้าเราเปล่งปลั่งขึ้นขนาดนี้?
ถ้าซิสคือคนหนึ่งที่ไม่เคยรู้เลยว่าสกินแคร์ตัวไหนดูแลเราอย่างไร ทำให้หน้าเราดีขึ้นหรือแย่ลงอย่างไร แปลว่าเราไม่เคยใส่ใจกับสภาพผิวหน้าหรือสกินแคร์แต่ละตัวอย่างจริงจังเลย ดังนั้น “Skip-Care” คือวิธีที่จะบอกให้เราใส่ใจกับรายละเอียดมากขึ้น ใส่ใจและสังเกตสกินแคร์และผิวหน้าตัวเองได้อย่างพิถีพิถันมากขึ้น
ช่วยลดปริมาณขยะและกระบวนการผลิตที่เกินความจำเป็น
ถ้าเราลองไปนับจำนวนกระปุกครีมที่ซื้อมาลองแล้วใช้ไม่หมด ใช้แล้วไม่เวิร์ค ทาแล้วไม่เห็นผลก็เลยไม่ค่อยทา เราจะเห็นว่าเรามีสกินแคร์ที่เกินความจำเป็นอยู่เยอะมาก นอกจากจะเปลืองเวลา เปลืองเงินแล้ว การซื้อครีมมาแบบไม่พิจารณาให้ดี ยังเปลืองทรัพยากรของโลกใบนี้ทั้งบรรจุภัณฑ์ ทรัพยากรการผลิต
แม้เรื่องนี้จะดูเหมือนไกลตัวสำหรับสาว ๆ บางคน แต่ในวันที่น้ำแข็งขั้วโลกละลายเยอะและเร็วเป็นประวัติการณ์ เทรนด์ “Skip-Care” ที่จะทำให้เราใส่ใจตัวเองได้ และสามารถเป็นห่วงโลกใบนี้ไปพร้อม ๆ กันด้วยก็คงเป็นเรื่องดีไม่น้อยใช่มั้ยคะซิส?
“Skip-Care” จึงเป็นการที่สาว ๆ บอกตัวเองว่า “จำนวนมากกว่าหรือขั้นตอนที่มากกว่าไม่ได้แปลว่าดีกว่าเสมอไป” ถ้าเราลองใส่ใจสภาพผิวตัวเองมากขึ้น เฟ้นหาสกินแคร์ที่ออกแบบมาเพื่อดูแลผิวหลายรูปแบบในหนึ่งเดียวมากขึ้น เราจะรู้ว่าเราสามารถเหลือเวลา เหลือเงินไว้ดูแลตัวเองในด้านอื่น ๆ แถมยังช่วยรักษาทรัพยากรให้โลกได้อีกด้วย