.
Hunter Talk กลับมาอีกครั้ง ! โดยครั้งนี้เราจะพาไปคุยกับ คุณ รมิดา จินตนานุภาพ “คุณอร” และ คุณ นพรุจ จินตนานุภาพ “คุณเพชร” สองพี่น้องคนเก่งที่ปั้นธุรกิจกระเป๋าผ้าดีไซน์สวย มีทั้ง Style และ Functional ในชื่อแบรนด์ว่า “Casual Theory” ออกมาตั้งแต่ช่วงที่กำลังศึกษาในรั้วจุฬาไปด้วย โอกาสนี้เราจะขอพาไปฟังกันชัดๆ อินไซต์กันถึงที่มาที่ไปของแบรนด์ พร้อมทั้งแอบเก็บเคล็ดลับดีๆในการทำธุรกิจของพวกเค้ามาฝากกัน ไปค่ะ ไปดู !
.
.
.
ก่อนอื่นอยากให้ช่วยแนะนำตัวให้ชาว Beauty Hunter รู้จักหน่อยค่ะ ?
เพชร : ชื่อ “เพชร” นพรุจ จินตนานุภาพ อายุ 23 ปีครับ ตอนนี้กำลังจะจบการศึกษาจาก คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย อร : “อร” รมิดา จินตนานุภาพ อายุ 24 ปี จบการศึกษาคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เราสองคนพี่น้องเป็นเจ้าของแบรนด์ชื่อ “Casual Theory’ ค่ะ
.
‘Casual Theory’ คือแบรนด์อะไร ? ?
อร : ถ้าให้พูดถึง “Casual Theory” แบรนด์นี้ก็คือแบรนด์กระเป๋าผ้า Lifestyle brand ที่ตอบสนองการใช้ชีวิตอย่างมีความหมายและตัวตนค่ะ ผ่านเครื่องใช้ประจำตัวที่ทุกคนต้องใช้ในชีวิตประจำวัน
เพชร : สินค้าของเราก็จะเป็นกระเป๋าในแบบต่างๆ ที่ตอบสนองทั้งในแง่ของการใช้สอย ฟังก์ชั่นที่จำเป็น และยังเน้นการตอบสนองและบ่งบอกตัวตนของผู้ใช้ ผ่านดีไซน์ สี ลาย ของสินค้าด้วยครับ
.
ทำไมถึงชื่อแบรนด์ ‘Casual Theory’ ?
อร : ที่มาของชื่อ ก็อย่างที่กล่าวไปข้างต้นเลยค่ะว่า เราต้องการที่จะตอบสนองผู้ใช้ด้วยสินค้าที่จำเป็นและใช้ได้จริงในชีวิตประจำวัน สอดคล้องกับ everyday life สะท้อนและบ่งบอกถึงตัวตนของผู้ใช้ได้ คือถ้าเราลองจินตนาการ ’วิธีคิด’ ของผู้ใช้ในการเลือกเครื่องแต่งตัวแต่ละชิ้นที่ไม่เพียงแต่เพื่อการใช้งานที่เหมาะกับชีวิตในวันนั้นๆ แต่มันยังเป็นการสื่อสารตัวตนผ่านสิ่งที่เค้าเลือกมาสวมใส่ด้วย
เพชร : ซึ่งคอนเซปต์ ‘วิธีคิด’ นี้เลยกลายเป็นคำว่าทฤษฏี หรือ ‘Theory’ ของการเลือกใช้ของต่างๆในชีวิตประจำวัน หรือก็คือ ‘Casual’ รวมเกิดมาเป็นชื่อแบรนด์ของเรา ‘Casual Theory’ ซึ่งเน้นทฤษฎีความเรียบง่ายแต่แสดงถึงตัวตนครับ
.
.
จุดเริ่มต้นของแบรนด์ ‘Casual Theory’ เริ่มมาตั้งแต่เป็นนักศึกษา ?
เพชร : ครับ เริ่มตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัย ที่จุฬาจะมีงานแฟร์ต้อนรับน้องใหม่ (CU First Date) ใช่มั้ยครับ เราก็คิดกันเล่นๆว่าอยากจะทำของขาย โจทย์แรกที่ตั้งให้กับตัวเองเลยก็คือ กลุ่มนิสิตใหม่ต้องการอะไร ? สินค้าในตลาดมีอะไรบ้าง ? สภาพตลาดการแข่งขันเป็นอย่างไร ? จึงมาลงตัวที่ “กระเป๋าผ้า” ซึ่งเป็นสินค้าหลักและเป็นสินค้าแรกของแบรนด์
อร : ตอนที่เริ่มหยิบสินค้าประเภทนี้มาก็ถือว่าเสี่ยงอยู่ในระดับหนึ่ง เนื่องจากเราสร้างความแตกต่างด้วยการทำสีที่หลากหลาย ซึ่งอาจไม่เป็นที่นิยมของลูกค้า แถมในตลาดตอนนั้นยังไม่ค่อยมีคนทำมาก่อน แต่ผลตอบรับออกมาดีพอสมควรเลยค่ะ จากนั้นก็มาเราก็เริ่มขายออนไลน์และออกงานต่างๆมาเรื่อยๆ
.
.
อะไรทำให้ ‘Casual Theory’ มีความพิเศษและแตกต่าง ?
อร : จุดนี้คิดว่าเป็นเพราะเรากล้าที่จะเล่น “Risk game” ด้วยการมีสินค้าหลากหลายสีมากๆ เรามองว่าเครื่องแต่งกายที่แต่ละคนเลือกใช้มันควรจะมีเรื่องราวและแสดงออกถึงตัวตนของพวกเขาด้วย เป็นที่มาให้เราหยิบเรื่องของสีตาม Pantone มาใช้กับสินค้า เพราะสีแต่ละสีก็มีความเฉพาะตัวและเรื่องราวที่มาของมันที่แตกต่างเหมือนคนแต่ละคน ซึ่งจะต่างกับหลายๆแบรนด์ที่มักจะเลือกทำสีเบสิค เช่น ขาว ดำ กรมท่า แบบ play safe
เพชร : เหมือนเป็นทางเลือกให้ผู้คนได้เลือกใช้สินค้าในแบบที่เป็นตัวเองมากที่สุดครับ และลูกค้าหลายคนก็เลือกจะแสดงออกถึงตัวตนด้วยสีสันแปลกๆที่เรามีให้ นั่นยิ่งทำให้เรามีกำลังใจที่จะเพิ่มและสร้างความเเตกต่างต่อไป จนปัจจุบันเราออกสีต่างๆมากว่า 18 สีแล้วครับ
.
ลูกค้าของ ‘Casual Theory’ ?
เพชร : ลูกค้าของทางแบรนด์ส่วนใหญ่จะเป็นวัยเรียนจนถึงวัยทำงาน นอกจากนั้นยังมีชาวต่างชาติซื้อเป็นของฝาก หรือสั่งไปที่ต่างประเทศ เช่น สิงคโปร์ ฮ่องกง มาเลเซีย รวมถึงในด้านของเซเลป ก็มีทั้ง เมโกะ ชนนิกานต์, มิ้งยูมิโกะ, บอส จักรพัน เป็นต้นครับ
.
.
สินค้าตัวไหนที่เป็น HOT ITEM ?
อร : ก็จะเป็นตัวสินค้าหลักอย่าง Pantone Square Tote หลากสี โดยเฉพาะอย่างยิ่งรุ่น 2 Tone ที่เกิดจากการสั่งทำผ้าสีเฉพาะมา gradient กัน และยังมี mini “Unikko” collection ที่เรานำผ้าลิขสิทธิ์แท้จาก “Marimekko” มาทำเป็นกระเป๋าแบบต่างๆ ซึ่งก็ได้รับการตอบรับที่ดีมากๆเลยค่ะ
.
เคล็ดลับในการทำธุรกิจในขณะที่เรียนไปด้วย ?
เพชร : การที่เราเรียนไปด้วยแล้วทำธุรกิจไปด้วย จริงๆจะบอกว่ามันไม่กระทบเลยก็ไม่ได้ เพราะแน่นอนว่าเราต้องแบ่งเวลาส่วนหนึ่งไปทำ ไปคิด ไปขาย แต่ก็คือใช้วิธีบริหารเวลาให้ดี เอาเวลาว่างมาทำ ซึ่งมันก็ไม่ได้ยากจนเกินไปครับ ถ้าเราตั้งใจจริงๆ ซึ่งถ้าหนักๆหน่อยช่วงใกล้สอบที่มีต้องออกบู้ทขาย ก็คือต้องอ่านมาก่อนหรือแม้กระทั่งเอาหนังสือไปนั่งอ่านในระหว่างที่ออกงานก็มีครับ ใช้เวลาให้คุ้มค่าที่สุด
.
เจออุปสรรคอะไรบ้างมั้ย ?
อร : อุปสรรคในการทำงานแน่นอนเลยว่าต้องมี(เยอะมาก) ไม่ว่าจะเป็นสินค้าไม่ผ่าน QC ต้นทุนที่สูงในการผลิต โรงงานที่ผลิตส่งงานช้า และอื่นๆอีกมากมาย งานออกแบบและควบคุมการผลิตเองก็ต้องใช้ทั้งความใส่ใจ การเผื่อเวลา รอบคอบในทุกขั้นตอนเลยค่ะ นอกจากนี้ยังต้องเจรจาเก่ง ติดตามข่าวสาร ต้องหัวไว คิดไว ทำไวด้วย หาอินสปายใหม่ๆตลอดเวลา
.
.
ถ้าอยากเริ่มต้นทำแบรนด์ของตัวบ้าง แนะนำอย่างไร ?
เพชร : จริงๆตอนเรียนต้องบอกก่อนเราไม่ใช่คนเก่ง แต่เรามั่นใจว่าเราเป็นคนที่พยายาม คือทั้งเรียนทั้งทำแบรนด์มันก็หนัก สำคัญคือ ถ้าลองบริหารเวลาดีๆก็ทำได้แน่นอนค่ะ ตอนแรกที่เริ่มทำเราเองไม่เคยคิดว่าจะมาไกลขนาดนี้ แต่เมื่อมีคนชมเราก็เก็บมาเป็นกำลังใจซึ่งมันก็เป็นเรื่องที่ดี เพราะฉะนั้นถ้าใครอยากลอง ก็หาเรื่องหรืออะไรที่ตัวเองสนใจ บริหารเวลาดีๆ เชื่อว่าคงเริ่มต้นได้ไม่ยาก ถ้าตั้งใจจริง อาจจะมีอุปสรรคบ้างซึ่งก็ต้องพยายามผ่านมันไปให้ได้ แล้วมันจะเป็นวันของเราครับ
สุดท้ายอยากให้ช่วยฝากแบรนด์ ‘Casual Theory’
อร : สุดท้ายนี้ก็ขอฝาก แบรนด์ ‘Casual Theory’ ไว้ด้วยนะคะ เราจะผลิตสินค้าคุณภาพ มี style และ functional ออกมาตอบสนองทุกท่านต่อไปอย่างแน่นอน ฝาก IG: @casualtheory / Line : @casualtheory (มี @ด้วย) และ ทาง Facebook ที่ www.facebook.com/casualtheorybkk ค่ะ
.